ติดต่อเราติดต่อเราFacebookติดต่อเรา

ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ความศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อที่มีมาแต่อดีต

ในประเทศไทย ความเชื่อ ความศักดิ์สิทธิ์ และความศรัทธาเป็นของที่อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนาน ในทุกความเชื่อและประเพณีของชาติไทย “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” หรือ “ศาลหลักเมือง” คือหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และความศรัทธาของคนในแต่ละจังหวัดได้อย่างไม่น่าเหลือเชื่อ เพราะเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อที่ผูกพันชีวิตของชุมชนและวัฒนธรรมไทยอย่างแยกไม่ออก ตั้งแต่ยุคสุโขทัยผ่านยุคอยุธยาและมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ ศาลหลักเมืองไม่เพียงแต่พื้นที่ที่สำคัญสำหรับการประกอบพิธีกรรมในแต่ละจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจและวัฒนธรรมที่มีความเป็นไทยสืบสานกันต่อมา

การที่แต่ละเมือง (จังหวัด) ต่างมีศาลหลักเมืองเป็นของตนเอง ไม่เพียงแสดงถึงความเชื่อและความเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างชุมชน และประชากรในพื้นที่นั้นที่มีตั้งแต่ในอดีตต่อเมือง ดังนั้นบทความในครั้งนี้เราจะพาไปสำรวจประวัติและความเป็นมาของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกันว่าทำไมถึงมีขึ้นมา และมีความเชื่ออะไรจึงทำให้กลายเป็นดั่งศูนย์รวมของคนในแต่ละเมือง (จังหวัด)

ร่องรอยประวัติความเป็นของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง หรือที่ถูกเรียกสั้น ๆ ว่า “ศาลหลักเมือง” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่รวมความเชื่อและพิธีกรรมของหลายศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งศาสนาพุทธ, พราหมณ์ และศาสนาพื้นบ้านแบบจีน มักตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นชัยภูมิสำคัญของเมืองอย่าง “เสาหลักเมือง” โดยแต่ครั้งก่อนที่จะสร้างเมืองในแต่ละพื้นที่ (จังหวัด) มักจะต้องทำพิธียกเสาหลักเมืองในพื้นที่ที่อันเป็นชัยภูมิสำคัญ หรือเป็นใจกลางเสมอ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น

การสร้าง “เสาหลักเมือง” ในประเทศไทยเป็นประเพณีที่เก่าแก่ มีมาตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย และยังดำเนินต่อมาในยุคกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ โดยประเพณีการสร้างเสาหลักเมืองนี้มีรากฐานมาจากประเพณีพราหมณ์ของอินเดีย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นมิ่งขวัญและนิมิตมงคลให้กับบ้านเมืองที่กำลังจะสร้างขึ้นมา และยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงตำแหน่งหลักของเมือง เพื่อช่วยให้บ้านเมืองนั้นอยู่ร่มเย็นและอยู่กันอย่างเป็นสุข นอกจากนี้การสร้างเสาหลักเมือง ยังไม่เพียงแต่เป็นประเพณีที่เป็นความเชื่อก่อนตั้งรากฐานสร้างเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนดั่งเครื่องหมายทางศาสนาและพิธีกรรม ให้ประชาชนหรือคนในพื้นที่ได้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย

ถ้าให้ยกตัวอย่าง ศาลหลักเมืองที่เห็นได้ชัดเลยคือ “ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ” ที่เป็นศาลเจ้าตั้งอยู่คู่กับเสาหลักเมืองที่อยู่ใจกลางกรุงเทพ เป็นสถานที่สำคัญที่ชาวกรุงเทพฯ เคารพและให้ความนับถือกันมาอย่างยาวนาน มักมีการเข้าไปกราบไหว้เพื่อขอพรและความสำเร็จในชีวิต โดยทั่วไปแล้วเมื่อมีประเพณีหรือพิธีการที่เกี่ยวข้องกับเสาหลักเมืองมักจะจัดขึ้นในวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันสงกรานต์หรือวันเริ่มต้นปีใหม่ไทย

ซึ่งอย่างไรก็ดีศาลหลักเมืองในแต่ละเมือง (จังหวัด) จะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ความศรัทธา และอิทธิพลที่ได้รับเข้ามาในแต่ละพื้นที่ แต่โดยหลักแล้ว “ศาลหลักเมือง” หรือ “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” จะเป็นสถานที่ที่มีอยู่ในทุกที่ของแต่ละจังหวัด แต่จะมีขนาดความใหญ่ หรือความอลังการแตกต่างกันไป

ยกตัวอย่างเช่น “ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี” ซึ่งแต่เดิมเรียกกันว่า “ศาลเทพารักษ์หลักเมือง” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รวบรวมศิลปะหลาย ๆ ด้าน ทั้งพุทธปฎิมากรรมสลักบนแผ่นหินแบบนูนต่ำในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งเป็นศาสนาที่ชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ทิเบต ญวน เขมร นับถือ เป็นศิลปะแบบขอมเป็นรูปพระวิษณุกรรมสวมหมวกแขก ในศิลปะไพรกเม็ง และรูปปั้นมังกรสวรรค์ที่เป็นความเชื่อของจีนผสมผสานลงไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการนำรูปปั้นหรือปูนปั้นต่าง ๆ ที่แสดงถึงความเชื่อมาจัดตั้งแสดงให้ชาวเมือง หรือผู้คนได้เข้ามากราบไหว้บูชาอยู่ด้วย

ซึ่งอย่างไรก็ดี “ศาลหลักเมือง” หรือ “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” ยังคงเป็นเหมือนดั่งศูนย์กลางของคนในแต่ละเมือง (จังหวัด) ให้รู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียว และยังเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการประกอบพิธีกรรม หรือประเพณีที่สำคัญของคนในแต่ละจังหวัดด้วย

ความเชื่อต่าง ๆ ของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

ความเชื่อต่าง ๆ ของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

ในอดีตมีความเชื่อที่ว่า ในทุกครั้งที่การจะมีการสร้างเสาหลักเมืองจะต้องทำพิธีฝังอาถรรพ์ หรือพิธีฝังเสาหลักเมืองด้วยการจับคน 4 คน (ไม่มีการระบุว่าเป็นใคร) ไปฝังลงในหลุมเสาหลักแบบทั้งเป็น เพื่อให้วิญญาณของคนเหล่านี้อยู่เฝ้าหลักเมือง เฝ้าประตูเมือง เฝ้าปราสาท และคอยคุ้มครองบ้านเมือง ป้องกันไม่ให้อริราชศัตรูและปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บไม่ให้เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่ของเมือง แต่ความเชื่อนี้ก็เป็นเพียงความเชื่อส่วนหนึ่งของคนที่เล่าต่อมาในอดีต ไม่ได้มีถูกบันทึกในพงศาวดารแต่อย่างใด

โดยในปัจจุบัน “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” หรือ “ศาลหลักเมือง” มีความเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของเจ้าพ่อหลักเมือง ซึ่งเป็นวิญญาณผู้คุ้มครองและปกป้องบ้านเมืองไม่ให้ตกอยู่ในภัยพิบัติหรืออันตรายใด ๆ และยังคอยส่งเสริมให้เมืองมีความเจริญรุ่งเรือง ชาวบ้านหรือคนในพื้นที่จึงมักจะเข้ามาที่ศาลเพื่อกราบไหว้และขอพรเมื่อมีเรื่องสำคัญ หรือแม้แต่เรื่องธรรมดาทั่วไปในชีวิตประจำวัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการได้รับพรจากเจ้าพ่อหลักเมืองจะช่วยให้ชีวิตอยู่ร่มเย็นเป็นสุข และสำเร็จความหวังได้ทุกประการ

ประเพณี วัฒนธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

ในใจกลางของเมืองหลาย ๆ เมืองทั่วประเทศไทย มีสถานที่สำคัญหนึ่งต้องมีอยู่เสมอเลยคือ “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” หรือ “ศาลหลักเมือง” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เพียงแต่ศูนย์รวมของความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในพื้นที่ไว้ แต่ยังเป็นพื้นที่เก็บรักษาความเชื่อและประเพณีอันสำคัญของบ้านเมืองในแต่ละพื้นที่เอาไว้อีกด้วย

ยกตัวอย่างเช่น “พิธีบวงสรวงศาลหลักเมืองจังหวัดอุบลราชธานี” ประเพณีอันเก่าแก่ของชาวอุบลราชธานีที่จะมารวมตัวกันที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในทุกวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปี พิธีกรรมนี้ถูกจัดขึ้นด้วยจุดประสงค์ให้เมืองและชุมชนมีความเป็นสุข ร่มเย็น และเพื่อเป็นการอนุรักษ์ไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเก่าแก่ของจังหวัดให้คงอยู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสืบทอดไปยังรุ่นต่อไป

หรือ “ประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมือง” ที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนของทุกปีบริเวณริมเขื่อนศาลเจ้าพ่อหลักเมืองของจังหวัดสมุทรสาคร โดยจะอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองไปประทับเกี้ยวลงเรือประมงประดับธงทิวอย่างสวยงาม แล้วแห่ไปตามแม่น้ำท่าจีนจากตลาดมหาชัยไปฝั่งท่าฉลอมบริเวณวัดสุวรรณาราม และอัญเชิญไปจนถึงวัดช่องลม เพื่อให้ประชาชนสักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับชาวสมุทรสาคร หรือประชาชนที่เข้ามารับชม

กล่าวได้เลยว่าพิธีกรรมหรือประเพณีต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในพื้นที่ หรือบริเวณ “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความรื่นเริงให้กับชาวเมืองและชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อ และความศรัทธาที่มีตั้งแต่ในอดีตต่อศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ในเมืองนั้น ๆ ด้วย

บทสรุป

สรุปให้เข้าใจว่า “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ศาลหลักเมือง” ที่เราเห็นอยู่ได้ทุกตามเมือง หรือทุกจังหวัดในประเทศไทยนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่สำคัญทางศาสนาหรือวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และความศรัทธาที่มีมาอย่างยาวนานในสังคมไทย ตั้งแต่ยุคสุโขทัย จนมาถึงยุครัตนโกสินทร์ โดยทำหน้าที่เป็นเหมือนดั่งศูนย์รวมจิตวิญญาณของคนในชุมชน คอยเก็บรักษาความเชื่อและประเพณีอันดีงามไว้ถ่ายทอดให้ยังรุ่นต่อไปอีกด้วย เพื่อเป็นการสร้างสิริมงคล และความร่มเย็นให้กับชาวบ้าน และบ้านเมือง

ซึ่งพิธีกรรมหรือประเพณีท้องถิ่นต่าง ๆ ที่จัดขึ้นที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในแต่ละจังหวัดเป็นการยืนยันต่อความเชื่อมโยงของชาวบ้านที่มีต่อเมืองนั้น ๆ และยังเป็นการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจและการเคารพต่อวิถีชีวิตที่ได้รับการสืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน ซึ่งการยึดมั่นในความเชื่อเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้คนในชุมชนรู้สึกผูกพันและเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาสามารถรับมือและผ่านพ้นความยากลำบากไปด้วยกันได้อีกด้วย

Relate Post

13/06/2025
ทำไมวัดต้องมี “รูปปั้นยักษ์” ? ถอดรหัสความเชื่อของไทย

กลางความเงียบสงบของวัดไทยในยามเช้า มีกลุ่มผู้เฝ้ามองนิ่งเงียบ ยืนตระหง่านอยู่หน้าวิหารมาตลอดหลายร้อยปี พวกเขาไม่ได้ขยับ ไม่พูด ไม่แม้แต่จะกระพริบตา แต่หากลองมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโต อันคมกริบเหล่านั้น คุณอาจรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง ที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาคือ “ยักษ์” รูปปั้นยักษ์ ที่เราคุ้นเคยกันดีตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วไทย หลายคนผ่านไปผ่านมาโดยไม่เคยตั้งคำถาม…“ยักษ์เหล่านี้คือใคร?” “ทำไมต้องยืนเฝ้าหน้าวัด?” “มีไว้ทำไม? หรือมีพลังบางอย่างที่แฝงอยู่หรือเปล่า?” ในบทความนี้ เราจะพาคุณถอดรหัสเบื้องหลังของ "รูปปั้นยักษ์" ตั้งแต่รากลึกทางวัฒนธรรม ศิลปะ ความเชื่อ ไปจนถึงบทบาทใหม่ของยักษ์ในโลกยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไป เพื่อให้เข้าใจว่า “ยักษ์” ไม่เคยเป็นเพียงแค่ประติมากรรมเงียบ ๆ หากแต่เป็นประตูแห่งเรื่องเล่าทางจิตวิญญาณที่ยังไม่เคยปิดลงเลยต่างหาก ต้นกำเนิดของ “รูปปั้นยักษ์”ในวัฒนธรรมไทย “รูปปั้นยักษ์” ที่เราคุ้นตากันตามวัดวาอารามต่าง ๆ ในประเทศไทย ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นจากจินตนาการของช่างฝีมือไทยล้วน ๆ หากแต่มีรากเหง้าลึกลงไปในวัฒนธรรมอินเดียโบราณ โดยคำว่า “ยักษ์” นั้น สันนิษฐานว่ามาจากภาษาสันสกฤตว่า “ยักขะ” (Yaksha) ซึ่งเป็นเทพชั้นรองหรือวิญญาณผู้พิทักษ์ในความเชื่อแบบฮินดูและพุทธในยุคต้น ๆ ยักขะดั้งเดิมไม่ได้มีเพียงรูปลักษณ์น่ากลัว หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่อาศัยอยู่ตามป่าเขา คอยปกป้องสมบัติ หรือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และบางครั้งก็เป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้าองค์ใหญ่ เช่น […]

Read More
13/06/2025
รูปปั้นจระเข้ สัญลักษณ์แห่งพลังและความศักดิ์สิทธิ์ในวัฒนธรรมไทย

หากคุณเคยเดินผ่านวัดเก่าแก่หรือบ้านโบราณบางหลัง แล้วบังเอิญเหลือบไปเห็นรูปปั้นจระเข้วางอยู่หน้าบ้าน หน้าศาล หรือแม้แต่ริมแม่น้ำ คุณอาจสงสัยว่าทำไมต้องเป็นจระเข้ ทั้งที่ในสายตาของใครหลายคน จระเข้ดูเป็นสัตว์ดุร้าย ไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่ แต่ในอีกมุมหนึ่งจระเข้ในวัฒนธรรมไทยไม่ใช่เพียงสัตว์น้ำที่น่าเกรงขาม แต่ยังเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับโลกใต้น้ำ เป็นผู้พิทักษ์แม่น้ำลำคลองและนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ เป็นหนึ่งในความเชื่อของคนไทยมาเนิ่นนาน จากสัตว์ในตำนานสู่รูปปั้นที่ตั้งตระหง่าน จระเข้มีบทบาททั้งในวรรณกรรม พิธีกรรม และความเชื่อพื้นบ้านอย่างลึกซึ้ง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับความหมายของรูปปั้นจระเข้ จุดเริ่มต้นของความเชื่อนี้ และเหตุผลว่าทำไมมันถึงยังคงมีที่ยืนในวัฒนธรรมไทยแม้ในยุคปัจจุบัน ความเชื่อเกี่ยวกับจระเข้ รูปปั้นจระเข้ ในวัฒนธรรมไทย ในวัฒนธรรมไทย จระเข้มีความสำคัญทั้งในแง่ความเชื่อทางศาสนา นิทานพื้นบ้าน และประเพณีต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน จึงได้เห็นรูปปั้นจระเข้อยู่ตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ มากมาย โดยความเชื่อเกี่ยวกับจระเข้ในไทยมีหลากหลายแง่มุม ซึ่งมีความเชื่อดังนี้ ความหมายมงคลของรูปปั้นจระเข้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ รูปปั้นจระเข้มีความหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม แต่มักสื่อถึงคุณลักษณะสำคัญ และในแง่ของความมงคลดังนี้ สรุป ในสังคมไทยความเชื่อเกี่ยวกับจระเข้หยั่งรากลึกทั้งในมิติทางศาสนา วรรณกรรม พิธีกรรม และศิลปกรรม รูปปั้นจระเข้ถูกนำไปใช้ในหลากหลายบริบท ทั้งในสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง ความเชื่อและพิธีกรรม ธุรกิจและพาณิชย์ การศึกษาและการอนุรักษ์ รวมถึงศิลปะและวัฒนธรรม การใช้งานที่หลากหลายนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของจระเข้ในวิถีชีวิตของผู้คน เมื่อพิจารณาในภาพรวมรูปปั้นจระเข้จึงไม่ใช่เพียงวัตถุทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และความเชื่อทางจิตวิญญาณ

Read More
04/06/2025
ปูนปั้นแนวสตรีทอาร์ต: สร้างมิติใหม่ให้กับศิลปะในพื้นที่สาธารณะ

เมื่อพูดถึง ความเป็น "สตรีทอาร์ต" หลายคนอาจนึกถึงภาพวาดกราฟฟิตี้ที่แสดงลวดลายสีสันลงบนกำแพง หรือสติ๊กเกอร์สุดครีเอทีฟที่แอบซ่อนอยู่ตามมุมถนน แต่คุณเคยคิดไหมว่า ศิลปะที่เราเห็นเหล่านั้นสามารถ "ลอยออกมา" จากกำแพงได้? และกลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอกในรูปแบบของปูนปั้นที่จะเข้ามาปฏิวัติวงการศิลปะแนว Street Art ที่เต็มไปด้วยสีสันและความคิดสร้างสรรค์ ในพื้นที่ของตัวเอง โดยไม่ใช่แค่งานปั้นธรรมดาแบบในพิพิธภัณฑ์ หรือประติมากรรมที่ตั้งอยู่ในสวน แต่คือ ศิลปะที่มาพร้อมกับเรื่องราวที่สัมผัสได้จริง มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมได้ราวกับสมบัติอันล้ำค่า ปูนปั้นในโลกศิลปะ จากงานดั้งเดิมสู่งานร่วมสมัยในสไตล์สตรีทอาร์ต ปูนปั้นในอดีตเปรียบเหมือนงานศิลป์ที่เล่าเรื่องราวแห่งยุคสมัย ที่บอกเล่าความเชื่อ ความศรัทธา และวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละยุค ไม่ว่าจะเป็น ลวดลายปูนปั้นตามเจดีย์ในวัดวาอาราม รูปปั้นในโบสถ์เก่าแก่ หรือ ประติมากรรมเทพเจ้าในยุโรป ทุกชิ้นงานล้วนสะท้อนถึงศิลปะเชิงพิธีกรรมความเชื่อที่งดงามไร้กาลเวลาที่มีความละเอียดอ่อนในทุกการปั้น แต่มาถึงยุคนี้ ศิลปินยุคใหม่ไม่เพียงแต่ต้องการความงดงามในเชิงศิลปะ แต่ยังต้องการสร้างความ ดิบ และ ตรงไปตรงมา ที่สามารถสื่อสารกับผู้คนทั่วไปได้แบบไม่มีข้อจำกัด ซึ่งประติมากรรมปูนปั้นก็สามารถวิวัฒนาการจากศิลปะในกรอบดั้งเดิมสู่การแสดงออกในพื้นที่เมือง โดยมีสตรีทอาร์ตเป็นแรงผลักดันได้ งานที่เคยถูกจำกัดไว้ในพื้นที่ ก็สามารถมาอยู่บนพื้นที่ส่วนตัวหรือพื้นที่สาธารณะและเล่าเรื่องราวร่วมสมัยในแบบที่ทุกคนจับต้องได้ นี่คือการคืนชีวิตให้กับงานปั้นในรูปแบบใหม่ และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างคนกับศิลปะ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แรงบันดาลใจในงานปูนปั้นแนวสตรีทอาร์ต ศิลปะทุกแขนงล้วนมีแรงบันดาลใจ และในงานปูนปั้นแนวสตรีทอาร์ตนั้น ก็มีแรงบันดาลใจที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องของความสวยงาเท่านั้น แต่ยังพุ่งเป้าไปที่การสื่อสารเรื่องราวมากมายที่สะท้อนมุมมองของชีวิตในเมือง และ การเล่าเรื่องที่กระตุกอารมณ์ของผู้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นงานที่สะท้อนความจริงของสังคม หรืองานที่สร้างสรรค์จินตนาการใหม่ […]

Read More

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดต่อเรา
ปูนปั้นช่างบรรจง รับปั้นรูปสัตว์ต่างๆ
ไก่ปูนปั้น ช้าง ม้า วัว ควาย ช้างทรง ม้าทรง ราคาถูกสั่งได้สอบถามก่อนได้ครับ
ติดต่อเราติดต่อเราFacebookติดต่อเรา
สถานที่ตั้งหน้าร้าน...
ร้านตั้งอยู่ก่อนถึงหมู่บ้านนนท์ณิชาบางใหญ่ 2 ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี