ในประเทศไทย ความเชื่อ ความศักดิ์สิทธิ์ และความศรัทธาเป็นของที่อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนาน ในทุกความเชื่อและประเพณีของชาติไทย “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” หรือ “ศาลหลักเมือง” คือหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และความศรัทธาของคนในแต่ละจังหวัดได้อย่างไม่น่าเหลือเชื่อ เพราะเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อที่ผูกพันชีวิตของชุมชนและวัฒนธรรมไทยอย่างแยกไม่ออก ตั้งแต่ยุคสุโขทัยผ่านยุคอยุธยาและมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ ศาลหลักเมืองไม่เพียงแต่พื้นที่ที่สำคัญสำหรับการประกอบพิธีกรรมในแต่ละจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจและวัฒนธรรมที่มีความเป็นไทยสืบสานกันต่อมา
การที่แต่ละเมือง (จังหวัด) ต่างมีศาลหลักเมืองเป็นของตนเอง ไม่เพียงแสดงถึงความเชื่อและความเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างชุมชน และประชากรในพื้นที่นั้นที่มีตั้งแต่ในอดีตต่อเมือง ดังนั้นบทความในครั้งนี้เราจะพาไปสำรวจประวัติและความเป็นมาของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกันว่าทำไมถึงมีขึ้นมา และมีความเชื่ออะไรจึงทำให้กลายเป็นดั่งศูนย์รวมของคนในแต่ละเมือง (จังหวัด)
ร่องรอยประวัติความเป็นของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง หรือที่ถูกเรียกสั้น ๆ ว่า “ศาลหลักเมือง” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่รวมความเชื่อและพิธีกรรมของหลายศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งศาสนาพุทธ, พราหมณ์ และศาสนาพื้นบ้านแบบจีน มักตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นชัยภูมิสำคัญของเมืองอย่าง “เสาหลักเมือง” โดยแต่ครั้งก่อนที่จะสร้างเมืองในแต่ละพื้นที่ (จังหวัด) มักจะต้องทำพิธียกเสาหลักเมืองในพื้นที่ที่อันเป็นชัยภูมิสำคัญ หรือเป็นใจกลางเสมอ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น
การสร้าง “เสาหลักเมือง” ในประเทศไทยเป็นประเพณีที่เก่าแก่ มีมาตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย และยังดำเนินต่อมาในยุคกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ โดยประเพณีการสร้างเสาหลักเมืองนี้มีรากฐานมาจากประเพณีพราหมณ์ของอินเดีย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นมิ่งขวัญและนิมิตมงคลให้กับบ้านเมืองที่กำลังจะสร้างขึ้นมา และยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงตำแหน่งหลักของเมือง เพื่อช่วยให้บ้านเมืองนั้นอยู่ร่มเย็นและอยู่กันอย่างเป็นสุข นอกจากนี้การสร้างเสาหลักเมือง ยังไม่เพียงแต่เป็นประเพณีที่เป็นความเชื่อก่อนตั้งรากฐานสร้างเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนดั่งเครื่องหมายทางศาสนาและพิธีกรรม ให้ประชาชนหรือคนในพื้นที่ได้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย
ถ้าให้ยกตัวอย่าง ศาลหลักเมืองที่เห็นได้ชัดเลยคือ “ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ” ที่เป็นศาลเจ้าตั้งอยู่คู่กับเสาหลักเมืองที่อยู่ใจกลางกรุงเทพ เป็นสถานที่สำคัญที่ชาวกรุงเทพฯ เคารพและให้ความนับถือกันมาอย่างยาวนาน มักมีการเข้าไปกราบไหว้เพื่อขอพรและความสำเร็จในชีวิต โดยทั่วไปแล้วเมื่อมีประเพณีหรือพิธีการที่เกี่ยวข้องกับเสาหลักเมืองมักจะจัดขึ้นในวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันสงกรานต์หรือวันเริ่มต้นปีใหม่ไทย
ซึ่งอย่างไรก็ดีศาลหลักเมืองในแต่ละเมือง (จังหวัด) จะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ความศรัทธา และอิทธิพลที่ได้รับเข้ามาในแต่ละพื้นที่ แต่โดยหลักแล้ว “ศาลหลักเมือง” หรือ “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” จะเป็นสถานที่ที่มีอยู่ในทุกที่ของแต่ละจังหวัด แต่จะมีขนาดความใหญ่ หรือความอลังการแตกต่างกันไป
ยกตัวอย่างเช่น “ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี” ซึ่งแต่เดิมเรียกกันว่า “ศาลเทพารักษ์หลักเมือง” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รวบรวมศิลปะหลาย ๆ ด้าน ทั้งพุทธปฎิมากรรมสลักบนแผ่นหินแบบนูนต่ำในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งเป็นศาสนาที่ชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ทิเบต ญวน เขมร นับถือ เป็นศิลปะแบบขอมเป็นรูปพระวิษณุกรรมสวมหมวกแขก ในศิลปะไพรกเม็ง และรูปปั้นมังกรสวรรค์ที่เป็นความเชื่อของจีนผสมผสานลงไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการนำรูปปั้นหรือปูนปั้นต่าง ๆ ที่แสดงถึงความเชื่อมาจัดตั้งแสดงให้ชาวเมือง หรือผู้คนได้เข้ามากราบไหว้บูชาอยู่ด้วย
ซึ่งอย่างไรก็ดี “ศาลหลักเมือง” หรือ “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” ยังคงเป็นเหมือนดั่งศูนย์กลางของคนในแต่ละเมือง (จังหวัด) ให้รู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียว และยังเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการประกอบพิธีกรรม หรือประเพณีที่สำคัญของคนในแต่ละจังหวัดด้วย
ความเชื่อต่าง ๆ ของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
ในอดีตมีความเชื่อที่ว่า ในทุกครั้งที่การจะมีการสร้างเสาหลักเมืองจะต้องทำพิธีฝังอาถรรพ์ หรือพิธีฝังเสาหลักเมืองด้วยการจับคน 4 คน (ไม่มีการระบุว่าเป็นใคร) ไปฝังลงในหลุมเสาหลักแบบทั้งเป็น เพื่อให้วิญญาณของคนเหล่านี้อยู่เฝ้าหลักเมือง เฝ้าประตูเมือง เฝ้าปราสาท และคอยคุ้มครองบ้านเมือง ป้องกันไม่ให้อริราชศัตรูและปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บไม่ให้เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่ของเมือง แต่ความเชื่อนี้ก็เป็นเพียงความเชื่อส่วนหนึ่งของคนที่เล่าต่อมาในอดีต ไม่ได้มีถูกบันทึกในพงศาวดารแต่อย่างใด
โดยในปัจจุบัน “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” หรือ “ศาลหลักเมือง” มีความเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของเจ้าพ่อหลักเมือง ซึ่งเป็นวิญญาณผู้คุ้มครองและปกป้องบ้านเมืองไม่ให้ตกอยู่ในภัยพิบัติหรืออันตรายใด ๆ และยังคอยส่งเสริมให้เมืองมีความเจริญรุ่งเรือง ชาวบ้านหรือคนในพื้นที่จึงมักจะเข้ามาที่ศาลเพื่อกราบไหว้และขอพรเมื่อมีเรื่องสำคัญ หรือแม้แต่เรื่องธรรมดาทั่วไปในชีวิตประจำวัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการได้รับพรจากเจ้าพ่อหลักเมืองจะช่วยให้ชีวิตอยู่ร่มเย็นเป็นสุข และสำเร็จความหวังได้ทุกประการ
ประเพณี วัฒนธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
ในใจกลางของเมืองหลาย ๆ เมืองทั่วประเทศไทย มีสถานที่สำคัญหนึ่งต้องมีอยู่เสมอเลยคือ “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” หรือ “ศาลหลักเมือง” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เพียงแต่ศูนย์รวมของความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในพื้นที่ไว้ แต่ยังเป็นพื้นที่เก็บรักษาความเชื่อและประเพณีอันสำคัญของบ้านเมืองในแต่ละพื้นที่เอาไว้อีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น “พิธีบวงสรวงศาลหลักเมืองจังหวัดอุบลราชธานี” ประเพณีอันเก่าแก่ของชาวอุบลราชธานีที่จะมารวมตัวกันที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในทุกวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปี พิธีกรรมนี้ถูกจัดขึ้นด้วยจุดประสงค์ให้เมืองและชุมชนมีความเป็นสุข ร่มเย็น และเพื่อเป็นการอนุรักษ์ไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเก่าแก่ของจังหวัดให้คงอยู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสืบทอดไปยังรุ่นต่อไป
หรือ “ประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมือง” ที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนของทุกปีบริเวณริมเขื่อนศาลเจ้าพ่อหลักเมืองของจังหวัดสมุทรสาคร โดยจะอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองไปประทับเกี้ยวลงเรือประมงประดับธงทิวอย่างสวยงาม แล้วแห่ไปตามแม่น้ำท่าจีนจากตลาดมหาชัยไปฝั่งท่าฉลอมบริเวณวัดสุวรรณาราม และอัญเชิญไปจนถึงวัดช่องลม เพื่อให้ประชาชนสักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับชาวสมุทรสาคร หรือประชาชนที่เข้ามารับชม
กล่าวได้เลยว่าพิธีกรรมหรือประเพณีต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในพื้นที่ หรือบริเวณ “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความรื่นเริงให้กับชาวเมืองและชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อ และความศรัทธาที่มีตั้งแต่ในอดีตต่อศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ในเมืองนั้น ๆ ด้วย
บทสรุป
สรุปให้เข้าใจว่า “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ศาลหลักเมือง” ที่เราเห็นอยู่ได้ทุกตามเมือง หรือทุกจังหวัดในประเทศไทยนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่สำคัญทางศาสนาหรือวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และความศรัทธาที่มีมาอย่างยาวนานในสังคมไทย ตั้งแต่ยุคสุโขทัย จนมาถึงยุครัตนโกสินทร์ โดยทำหน้าที่เป็นเหมือนดั่งศูนย์รวมจิตวิญญาณของคนในชุมชน คอยเก็บรักษาความเชื่อและประเพณีอันดีงามไว้ถ่ายทอดให้ยังรุ่นต่อไปอีกด้วย เพื่อเป็นการสร้างสิริมงคล และความร่มเย็นให้กับชาวบ้าน และบ้านเมือง
ซึ่งพิธีกรรมหรือประเพณีท้องถิ่นต่าง ๆ ที่จัดขึ้นที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในแต่ละจังหวัดเป็นการยืนยันต่อความเชื่อมโยงของชาวบ้านที่มีต่อเมืองนั้น ๆ และยังเป็นการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจและการเคารพต่อวิถีชีวิตที่ได้รับการสืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน ซึ่งการยึดมั่นในความเชื่อเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้คนในชุมชนรู้สึกผูกพันและเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาสามารถรับมือและผ่านพ้นความยากลำบากไปด้วยกันได้อีกด้วย