“ม้าทรง” พาหนะคู่บุญของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

หากพูดถึงพาหนะคู่บุญของพระมหากษัตริย์ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีจะ “ม้าทรง” เพราะถือว่าเป็นสัตว์คู่บารมีที่พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงนำมาเป็นพาหนะขณะทำศึกสงคราม เนื่องจากมีความปราดเปรียว ว่องไว เช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ได้ทรงเลือกม้าเป็นม้าทรงในการทำ ศึกสงคราม จนมีการขนานนามว่าพระองค์ทรงเป็น “นักรบบนหลังม้า” ทำให้พระบรมราชานุสาวรีย์ พระเจ้าตากสินมหาราชส่วนใหญ่จะเป็นรูปปั้นพระองค์ทรงม้าออกรบอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชคู่กับม้าทรง ตั้งอยู่บริเวณวงเวียนใหญ่ ถนนประชาธิปก เป็นรูปปั้นพระเจ้าตากสินในลักษณะทรงม้า พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบ มีความสูงจากเท้าม้าถึงยอดพระมาลา 9 เมตร ฐานอนุสาวรีย์เป็นแท่นคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 8.90 เมตร กว้าง 1.80 เมตร ยาว 3.90 เมตร

นอกจากนี้ สองด้านของแท่นฐานมีรูปปั้นนูนด้านละ 2 กรอบรูป ถ่ายทอดภาพประวัติศาสตร์อยู่ 4 รูป โดยรูปแรกเป็นรูปประชาชนทุกวัยแสดงอาการโศกเศร้าหมดความหวังเมื่อกรุงแตก รูปที่สองเป็นรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนรวมกำลังกันต่อสู้กู้อิสรภาพ รูปที่สามเป็นรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงต่อสู้ข้าศึก และรูปสุดท้ายคือรูปประชาชนพลเมืองมีความสุขที่กอบกู้อิสรภาพได้สำเร็จ โดยอนุสาวรีย์นี้ได้เปิดปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2497 และมีพิธีสักการะพระบรมรูป ในวันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี หรือที่เรียกว่า วันถวายบังคมสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

เปิดประวัติ เล่าเรื่อง “ม้าทรง” ในพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช

ม้าทรง 2

หากใครมีโอกาสได้แวะเวียนไปแถววงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี อยากให้ลองสังเกตรูปปั้นม้าทรงของ พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช แล้วจะเห็นว่าหางของม้านั้นไม่ได้ลู่ลงอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งผิดวิสัยของม้าในขณะที่หยุดวิ่ง ซึ่งประเด็นนี้ทำให้กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นวงกว้างจากทั้งสถาปนิก และนักวิจารณ์ศิลปะ

อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ออกแบบพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชนี้ ได้ออกมาพูดว่า “ถ้าพูดถึงลักษณะกายวิภาคของม้า ตรงส่วนโคนหางนั้นมีกระดูกอยู่จึงทำให้ม้าสามารถยกหางขึ้นได้เล็กน้อย ส่วนขนที่อยู่ในหางถ้าพูดกันตามหลักความเป็นจริงก็ยกไม่ได้ แต่ด้วยแรงแกว่ง หรือแรงลม จึงทำให้หางม้าสามารถปลิวไสว และยกขึ้นได้อย่างที่เห็น อีกหนึ่งเหตุผลที่หางม้ายกขึ้นนั่นก็เพราะต้องการปั้นให้ม้าตัวนี้มีลักษณะตื่นตัว พร้อมรบเต็มที่”

นอกจากนี้ อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ยังอธิบายไว้เพิ่มเติมในเรื่องของหางม้าที่ชี้ขึ้นอีกว่า พระเจ้าตากสินและม้าต่างก็อยู่ในอาการตึงเครียด พระองค์กระชับบังเหียนเพื่อจะรุดไปข้างหน้า และม้าทรงก็ตื่นเต้นคึกคักที่จะพุ่งไปข้างหน้าเช่นกัน เมื่อเป็นดังนี้ หู และหางที่ชันชี้ จึงสอดคล้องกับความตื่นคะนองของสัตว์อย่างที่ทุกคนเห็นกันนั่นเอง

กว่าจะมาเป็นรูปปั้นม้าทรงในพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช

ม้าทรง 3

พระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นนักรบบนหลังม้า ดังนั้น พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชจึงมีม้าทรงอยู่ด้วย แต่กว่าจะมาเป็นรูปปั้นม้าทรงอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั้นไม่ง่าย เพราะนอกจากจะต้องผ่านการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสถาปนิก และนักศิลปะในเรื่องของหางม้าที่ชี้ขึ้นแล้ว ยังมีการวิจารณ์ถึงขนาดลำตัวของม้าว่าตัวเล็กเกินไป ดูไม่เหมาะสมกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ตามประวัติของพระเจ้าตากสินมหาราช ม้าทรงของพระองค์นั้นจะเป็นม้าพันธุ์ไทย แต่ม้าที่แรกเริ่มจะนำมาเป็นแบบในการสร้างม้าของพระเจ้าตากนั้นเป็นม้าพันธุ์อาหรับอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่าอาจารย์ศิลป์ พีระศรี นั้นยังไม่พอใจ แต่มารู้สึกพอใจกับม้าไทยที่ดูธรรมดา และมีขนาดลำตัวเล็กกว่าพันธ์อาหรับ โดยอาจารย์ศิลป์ได้ให้เหตุผลถึงสาเหตุที่ตัดสินใจเลือกม้าพันธุ์ไทยมาเป็นแบบว่า “ถ้าให้ปั้นม้าตัวใหญ่ ๆ ก็ต้องเป็นม้าจากต่างประเทศ แต่ในยุคสมัยนั้นพระเจ้าตากสินทรงม้าไทย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ปั้นม้าตัวใหญ่”

ประเด็นสุดท้ายที่มีคนท้วงติงก่อนจะมาเป็นรูปปั้นม้าทรงในพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั่นก็คือ ม้ายืนนิ่งวางขาทั้งสี่อยู่ระนาบเดียวกันกับพื้น ไม่มีการยกแข้งยกขาให้ดูพลิ้วไหวแบบที่อื่น ซึ่งประเด็นนี้อาจารย์ศิลป์ก็ได้ให้เหตุผลไว้ว่า ม้าที่ยืนนิ่งวางขาทั้งสี่อยู่ระนาบเดียวกันนั้นสื่อถึงอารมณ์ที่กำลังเผชิญกับความตายในสนามรบ ท่าทางจึงต้องนิ่ง เพื่อสื่อถึงการอยู่ใต้อาณัติ กล้ามเนื้อทุกมัดบีบเกร็ง ดูเคร่งเครียด ไม่ใช่ยกแข้งยกขาทำราวกับกำลังเดินสวนสนามท่ามกลางเสียงโห่ร้องสรรเสริญ

จะเห็นได้ว่ากว่าจะมาเป็นรูปปั้นม้าทรงในพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชนั้นไม่ง่ายเอาเสียเลย เพราะกว่าจะนำมาตั้งอยู่กลางวงเวียนใหญ่อย่างสง่าผ่าเผยก็ทำเอาผู้ออกแบบอย่าง อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ต้องออกมาอธิบาย และให้เหตุผลกันอยู่หลายครั้ง แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการอธิบายที่คุ้มค่า เพราะทำให้ทุกฝ่ายไร้ข้อกังขาจนทำให้มีพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชทรงม้าตั้งตระหง่านอยู่กลางวงเวียนใหญ่ถึงทุกวันนี้

Relate Post

02/09/2024
“ของแก้บน” ความเชื่อที่มาพร้อมกับการ “บนบาน”

“ของแก้บน” ความเชื่อที่มาพร้อมกับการบนบาน ถือว่าเป็นสิ่งที่ยากจะลบเลือนไปจากสังคมไทย ตราบใดที่วาทกรรมอย่าง “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ยังคงส่งผลกับความเชื่อของคนในปัจจุบัน เพราะความเชื่อในสังคมไทยนั้นมีอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ถ้าจะให้ปฏิเสธความเชื่อในสังคมไทยโดยยึดหลักเหตุผลอย่างเดียวคงต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต จุดเริ่มต้นความเชื่อของมนุษย์เกิดจากความกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ ตั้งแต่ฝนตก แดดออก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ประกอบกับในอดีตมนุษย์มีความซับซ้อนในการอธิบายน้อย และไม่มีองค์ความรู้ในการพัฒนาวิธีคิด จึงทำให้เกิดความคิดที่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติ มีวิญญาณบางอย่างสถิตอยู่ จึงเป็นที่มาของการนับถือ บูชา อำนาจเหนือธรรมชาติ จนกลายเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ จนพัฒนามาเป็นลัทธิ ความเชื่อ นำมาสู่การบูชา และบนบาน แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไป แต่การถ่ายทอดความเชื่อเรื่องการแก้บน และการบนบานยังไม่ได้หายไป เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของยุคสมัย ที่คนสามารถเข้าถึงกันได้ง่ายขึ้น มีการแชร์ มีการโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อออกไปอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นกระแสให้หลายคนเกิดความรู้สึกอยากลองทำตาม หนึ่งในนั้นก็คือการบนบาน และการแก้บนนั่นเอง เปิดตำราพามู “ของแก้บน” ที่ควรรู้ สายมูไม่ควรพลาด! การบนบาน เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งจากข่าว หรือจากคนใกล้ตัว ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีการบนบานไปแล้ว จะต้องมี “ของแก้บน” ไว้สำหรับแก้บนด้วย ซึ่งการแก้บนนั้นมีอยู่หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การรำ หรือการถวายของแก้บน วันนี้ เราจึงจะพาคุณมาดูของแก้บนที่คนนิยมนำมาแก้บนจากการบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่ามีอะไรบ้าง […]

Read More
02/09/2024
เสริมดวงด้วยรูปปั้น สัตว์มงคล ดึงดูดทรัพย์รับโชค

“สัตว์มงคล” หนึ่งในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ให้ความเคารพ และหันมาบูชาเป็นจำนวนมาก เพราะตามความเชื่อโบราณแล้วหากใครที่ดวงชะตาไม่ดี นอกเหนือจากการสะเดาะเคราะห์ ทำบุญ เสริมกรรมดีให้ชีวิตอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยเสริมดวงชะตาได้ก็คือ การบูชาสัตว์มงคลตามดวงชะตา ฉะนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มความโชคดีให้กับชีวิต เรามาดูพร้อมกันเลยดีกว่าว่ามีสัตว์มงคลอะไรบ้างที่จะช่วยเสริมดวงชะตาให้ชาวสายมูอย่างเรา ๆ!  สิงโตคู่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสิงห์คู่ ถือเป็นสัตว์มงคลที่ช่วยปกปักรักษาทรัพย์สิน และคุ้มครองคนในบ้าน อีกทั้งยังช่วยเรื่องอำนาจ เงินทอง ช่วยปกป้องคนในบ้านให้ปลอดภัย อยู่เย็นเป็นสุข นอกจากนี้ยังช่วยแก้ฮวงจุ้ยตำแหน่งทางสามแพร่ง ซึ่งถือเป็นทางผ่านของสิ่งอัปมงคลได้อีกด้วย มังกรถือเป็นหนึ่งในสัตว์มงคลที่มีมาตั้งแต่โบราณตามหลักความเชื่อของจีน โดยเชื่อกันว่าถ้าบ้านใดก็ตามมีการประดับด้วยรูปปั้น หรือภาพมังกร จะช่วยเสริมเรื่องความมั่งคั่ง พลังอำนาจ ช่วยเรียกโชคลาภให้มาเยือน ชีวิตไม่ตกต่ำ ยากจน และช่วยเสริมพลังดี ผลักพลังร้ายออกจากชีวิตได้ สัตว์มงคลที่ช่วยเรื่องของการค้าขายให้ราบรื่น รวดเร็ว และฉับไว นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงแก่ผู้บูชา  สำหรับใครที่อยากเสริมบารมีให้ผู้คนยำเกรง ลูกน้องอยู่ในโอวาท การแขวนภาพ หรือรูปปั้นเสือจะช่วยเสริมดวงชะตาได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันภูติผีปีศาจ และช่วยเสริมให้หน้าที่การงาน ธุรกิจประสบความสำเร็จ มีแต่ความราบรื่น เนื่องจากเต่าเป็นตัวแทนของการมีอายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เจ็บป่วยบ่อย หรือต้องการเสริมดวงชะตาด้านสุขภาพ คุ้มครองชีวิตให้มีอายุยืนยาว  สัตว์มงคลที่จะช่วยเสริมดวงชะตาให้ผู้คนรักใคร่เมตตา ทำกิจการงานใดก็สำเร็จดังหวัง อีกทั้งช่วยเสริมบารมีเรื่องความรักได้อีกด้วย  ตามความเชื่อของจีนเชื่อว่า กวางเป็นตัวแทนของความมั่งมีศรีสุข และช่วยให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา […]

Read More
01/08/2024
รูปปั้นเสือ ณ โค้งปิ้งงู (ประวัติความเป็นมาที่ทำให้ผู้คนถวายรูปปั้นเสือที่โค้งปิ้งงู)

ไม่ว่าจะสถานที่ไหน ๆ ของประเทศไทยเราล้วนต้องมีเรื่องเล่าหรือความเชื่อบางอย่างที่ผูกติดจากคนรุ่นก่อนมาเสมอ และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่ทุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือสถานที่ที่มีความเชื่อเหล่านี้ มักมีสิ่งบูชาทั้ง พระพุทธรูป หรือปูนปั้นรูปทรงสัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ม้าลาย ช้าง ไก่ หรือเสือ มาวางบูชาอยู่ด้วยเสมอ และหนึ่งสถานที่อันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสกลนคร และยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งกับ รูปปั้นเสือ ณ โค้งปิ้งงู โค้งที่มีการวางปูนปั้นเสืออยู่มากมายหลายร้อยตัว และไม่ว่าใครก็ตามที่ขับผ่านจะต้องบีบแตรกราบไหว้อยู่เสมอ โค้งปิ้งงู อยู่ในโซนพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติภูพาน จังหวัดสกลนคร โดยเป็นเส้นทางขึ้นเขาภูพานที่มีลักษณะโค้งลัดเลาะและโค้งที่คดเคี้ยวเป็นอย่างมาก หากมองจากมุมสูงแล้วจะดูเหมือนงูกำลังถูกปิ้งแล้วตัวคดเคี้ยงไปมา คำถามถัดมาคือ ทำไมโค้งปิ้งงูถึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ว่าใครก็ตามขับขี่ผ่านมาต้องบีบแตรกราบไหวกันเสมอ ด้วยความเป็นโค้งที่มีความคดเคี้ยวสูง และเป็นทางลาดชันภูเขาของพื้นที่อุทยาน การเดินทางสัญจรในบริเวณนั้นจึงต้องมีความระมัดระวังสูงอย่างมาก ประกอบกับพื้นที่บริเวณโค้งดังกล่าวมีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง พร้อมกับรูปปั้นเสือวางบูชาอยู่มากมายหลายร้อยตัว จึงทำให้ต้องบีบแตรแทนการกราบไหว้ เพื่อขอให้เดินทางปลอดภัย เพราะหากยกมือไหว้แบบปกติอาจเกิดอุบัติเหตุได้ และด้วยเหตุนี้โค้งนี้จึงถูกผู้คนแถวนั้นเรียกกันว่า “ศาลเจ้าพ่อเสือ” และทำให้โค้งปิ้งงูกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่น และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสกลนคร ที่ไม่ว่าใครที่ผ่านทางมาก็ต้องบีบแตรกราบไหว้กันเพื่อขอให้เดินทางปลอดภัยเสมอ ทำไมถึงมีรูปปั้นเสืออยู่ที่โค้งปิ้งงู โค้งปิ้งงู เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์แห่งหนึ่งได้ เพราะการมีอยู่ของพระพุทธรูปที่มีนามว่า “พระพุทธลีลามิ่งมงคลสกลสันติสุขศรีสุวรรณบรรพต” แต่พระพุทธรูปองค์ดังกล่าว ไม่มีใครรู้เลยว่าใครเป็นคนเอามาวางไว้ และวางไว้ตั้งแต่เมื่อไร บวกกับการเดินทางที่ยากและอันตราย จากโค้งอันคดเคี้ยว จึงมีการสันนิฐานว่า คนพื้นที่บริเวณนั้นในอดีตได้มากราบไหว้พระพุทธรูปองค์นี้อยู่เสมอ และมักมีการนำรูปปั้นเสือมาถวาย เพื่อขอให้การเดินทางผ่านพื้นที่โค้งป่านี้เป็นไปได้อย่างปลอดภัย […]

Read More

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดต่อเรา
ปูนปั้นช่างบรรจง รับปั้นรูปสัตว์ต่างๆ
ไก่ปูนปั้น ช้าง ม้า วัว ควาย ช้างทรง ม้าทรง ราคาถูกสั่งได้สอบถามก่อนได้ครับ
Line ID : 0819091660
add-line-icon
สถานที่ตั้งหน้าร้าน...
ร้านตั้งอยู่ก่อนถึงหมู่บ้านนนท์ณิชาบางใหญ่ 2 ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี