"มูเตลู" เป็นคำที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินกันเป็นอย่างดี หรือบางคนก็เรียกได้ชนิดที่ว่าคุ้นเคยกันเลยทีเดียว ก็ด้วยคำว่ามูเตลูเป็นคำที่ถูกใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน หันไปทางไหนก็ได้ยินแต่คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น สายมู คำว่า มูเตลู เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องการเสริมดวง และการบูชาของขลัง มีต้นกำเนิดของคำมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอินโดนีเซีย (อ่านเรื่องย่อ) ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า มูเตลู ศึกไสยศาสตร์ โดยเป็นเรื่องราวที่มีการใช้มนตร์ดำร่ายคาถาให้คนหลงรัก และในคาถามีคำว่า "มูเตลู" รวมอยู่ด้วย ซึ่งก็หมายถึงการใช้ ไสยศาสตร์นั่นเอง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ได้ถูกเหมารวมเป็นความเชื่อในลักษณะเดียวกัน จึงกลายเป็นที่มาของคำว่ามูเตลูที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ส่วนคนที่มีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า "สายมู" ซึ่งก็มาจากคำย่อของ มูเตลู นั่นเอง
กระแสมูเตลูในสังคมไทย เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แรกเริ่มที่คำว่า "มูเตลู" เข้ามาเป็นกระแสความสนใจของคนไทย ก็คือช่วงที่มีการบูชาเครื่องรางของขลังอย่างพวกตะกรุด กำไลเสริมดวง หินสีมงคล ทำให้คำว่าสายมูเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย ถึงแม้ความหมายจะผิดเพี้ยนไปจากหนังต้นสัญชาติอินโดนีเซียที่ได้กล่าวถึงไปในตอนต้นก็ตาม
คำนี้ยิ่งเป็นกระแสกันมากยิ่งขึ้นเมื่อคนดัง อย่างพวกศิลปิน นักแสดง หรืออินฟลูเอนเซอร์ หันมาบูชา และใช้เครื่องรางของขลังกันมากขึ้น โดยมีการออกมารีวิว และพูดถึงผ่านทางโลกออนไลน์ในเรื่องของผลลัพธ์ที่ได้จากการบูชา ทั้งเรื่องการนำโชค เสริมดวง เชื่อว่าจะช่วยดูดทรัพย์ ส่งเสริมเรื่องการเงิน การงาน และความรัก ก็ยิ่งทำให้หลายคนสนใจหาของนำโชคเหล่านั้นมาบูชา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ธุรกิจสายมูเตลูเติบโตไปพร้อมกับกระแสความเชื่อที่แพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว
ของขลังที่คนไทยนิยมบูชาไม่ได้มีเพียงแค่ตะกรุด กับหินสีมงคลเพียงเท่านั้น เพราะยังมีแม้กระทั่ง วอลเปเปอร์หน้าจอโทรศัพท์ที่กลายมาเป็นกระแสเรื่องการมูไม่แพ้กัน แต่ข้อดีของการมูเตลูที่คนไทยนิยมกันอย่างแพร่หลายก็คือ มักจะเป็นการเสริมดวงในด้านบวก โดยมีความเชื่อที่ว่าการบูชา หรือมีสิ่งเหล่านี้ไว้ติดตัว จะช่วยเสริมโชคชะตาทั้งเรื่องการเงิน การงาน การเรียน และความรัก ช่วยให้แคล้วคลาดจากอันตราย ช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย และดึงดูดพลังงานดี ๆ เข้ามาหาตัวเอง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนไทยบางส่วนหันมาหาที่พึ่งทางจิตใจเพื่อเสริมขวัญ และกำลังใจกันมากขึ้น เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกิดความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อหลายคนในหลายด้านนั่นเอง
ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงให้ความสนใจกับการมูเตลู ? ความเชื่อ ค่านิยม หรืองมงาย
หากลองสังเกตรอบตัวดูสักนิด จะรู้ว่ากระแสมูเตลูเข้ามามีบทบาทตั้งแต่เราตื่นนอน จนถึงการก้าวเท้าออกจากบ้านไป ถ้าจะให้พูดกันแบบเห็นภาพก็คือ ตื่นนอนมาเราเปิดหน้าจอโทรศัพท์เพื่อเช็คโนติแจ้งเตือนที่เด้งเข้ามาก็เจอ ‘วอลเปเปอร์ไพ่เสริมดวง’ ก่อนจะออกจากบ้านก็ต้องเลือกเสื้อผ้าที่เป็น ‘สีมงคล’ ประจำวัน หรือแม้กระทั่งจะก้าวขาออกจากบ้านก็ยังต้องก้าวขาข้างที่จะทำให้วันนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น
แล้วเคยสังเกตตัวเองดูบ้างหรือไม่ว่า เรื่องที่ได้กล่าวมาข้างต้น หากเป็นเราในวัยเด็กจะมองว่าเป็นอย่างไร งมงาย ? แล้วทำไมวันนี้..เด็กที่เคยบอกว่ามันเป็นเรื่องงมงายในวันนั้น ถึงหันมาเชื่อเสียเอง งั้นเรามาหาคำตอบไปพร้อมกันดีกว่าว่าอะไรที่ทำให้ความเชื่อที่เราเคยมองว่าเป็นของคนยุคเก่า กลับกลายมาเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
• ความนิยมของวอลเปเปอร์มงคล
วอลเปเปอร์มงคลก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงปีที่ผ่านมา เราจะเห็นกระแสการขาย และแจกวอลเปเปอร์ในหมู่แบรนด์ และเพจหมอดูต่าง ๆ ซึ่งก็เรียกความสนใจได้มากเลยทีเดียว
• กระแสเครื่องประดับมงคล
เป็นกระแสที่เห็นได้ชัดที่สุดไม่ว่าจะเป็นสร้อยข้อมือ หรือสร้อยคอก็มีผู้ให้ความสนใจมากมาย
เรียกได้ว่าเป็นแฟชันและเป็นไอเทมที่ขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบันนี้เลย
• กระแสการดูดวง
ไม่ว่าจะเป็นจากวันเกิด ราศี หรือจากไพ่ กลายมาเป็นที่นิยมของชาวไทยเกือบทุกเพศทุกวัย สังเกตได้ง่าย ๆ ก็เมื่อเดินผ่านสำนักดูดวงจะเริ่มเห็นแต่คนรุ่นใหม่มาดูดวงมากขึ้น
• แบรนด์ต่าง ๆ เริ่มมีการคอลแล็บฯ ร่วมกับหมอดูชื่อดัง
ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ต่าง ๆ หรืองานอีเวนต์ต่าง ๆ ก็หันมาเพิ่มกิจกรรมเอาใจสายมูกันไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกิจกรรมดูไพ่ยิปซีภายในงาน หรือแม้แต่การออกสินค้าใหม่ ๆ ก็ยังต้องมีเรื่อง ‘มงคล’ หรือ ‘ราศี’ เป็นองค์ประกอบ
บทสรุป ของคำว่า มูเตลู
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ ที่เราได้หยิบยกมาให้คุณได้อ่านเท่านั้น แต่เท่าที่ได้อ่านมาก็คงเพียงพอที่จะทำให้หลายคนหายสงสัยกันแล้วว่า เป็นเพราะอะไรความเชื่อถึงกลับมาเป็นที่นิยมขนาดนี้ มันไม่ใช่ทั้งเรื่องของความเชื่อ ค่านิยม หรือแม้แต่การงมงาย หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคนต้องการเพียงแค่ “ความสบายใจ” เพื่อซัพพอร์ตจิตใจในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเผชิญมากกว่า